วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
สิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 8 ดอกเบี้ยทบต้น
"The most powerful force in the universe is compound interest", Albert Einstein
เป็นคำกล่าวของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แปลว่า "พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล คือ ดอกเบี้ยทบต้น"
เพื่อที่จะเห็นภาพได้ชัดๆ ดูได้จากตารางข้างล่างได้เลยนะครับว่าการทบต้นมันรุนแรงแค่ไหน
แค่คุณลงทุนอะไรก็ได้ง่ายๆ แล้วให้ผลตอบแทนมันคงที่ (ยากนะ) เอาซัก 10 เปอร์เซ็น ต่อปี โดยไม่ต้องเพิ่มเงินต้น เพียง 20 ปี นะครับ เงินเพิ่มมาถึง 6 เท่า แล้วถ้า 30 เปอร์เซ็น ต่อปีละ หุหุ 14 เท่า โอ้แม่เจ้า
ที่เอามาให้ดูเนี่ย ผมอยากให้เห็นภาพชัดๆ ว่าปันผล หรือ ผลตอบแทนต่อปีของการเล่นหุ้น ถ้าเรามีวินัยในการลงทุน ไม่ใช่เรื่องยากครับที่จะวางแผนให้กับความมั่นคงในชีวิตได้
แต่คนส่วนมากมักจะทำสวนทางกับความจริง ไอ้เงินฝากที่ท่านฝากแบงค์เนี่ย เคยได้รู้สึกถึงการทบต้นบ้างรึยังครับ แม้กระทั้งการลงทุนในหุ้นก็ตาม เมื่อได้ผลตอบแทนแต่คุณ ตัดมันออกมาใช้ ก็คงได้แต่ฝันหวานว่ามันจะทบต้นทบดอกให้คุณ เพราะคนส่วนใหญ่ขาดความมีวินัย และความอดทน ถูกต้องครับที่ผมอยากจะสื่อก็คือ คนส่วนใหญ่จน และคนส่วนน้อยรวย เพราะมีความแตกต่าง ตั้งแต่วิธีการคิดที่ต้นทาง จนถึงปลายทางนั่นเอง เพราะฉะนั้นวันนี้ก็จงเริ่มทำอะไรที่มันแตกต่างอย่างถูกต้องซะ เผื่อวันนึงคุณอาจหลุดพ้นจากกับดักทางการเงินของยุคสมัยของระบบทุนนิยมก็เป็นได้
ข้างล่างนี้ผมเอากราฟของดอกเบี้ยทบต้นมาให้ดูกันนะครับ จะเห็นได้ชัดว่าพลังของการทบต้นเนี่ย มันแรงปลาย ต้องรอนานหน่อย แต่ผมว่าคุ้ม ถ้าวันนี้คุณอายุยี่สิบต้นๆ รอไปอีก 20 ปี ก็ยังไม่สายสำหรับผลไม้ที่สุกงอม และกินได้ไม่มีวันหมด เพียงคุณเริ่มปลูกมันวันนี้เท่านั้นเอง
กราฟแสดงผลตอบแทนทบต้น 5%
กราฟแสดงผลตอบแทนทบต้น 10%
กราฟแสดงผลตอบแทนทบต้น 15%
กราฟแสดงผลตอบแทนทบต้น 20%
กราฟแสดงผลตอบแทนทบต้น 25%
กราฟแสดงผลตอบแทนทบต้น 30%
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
หุ้นก็เหมือนน้ำ(ท่วม) มีขึ้นก็มีลง
โบราณว่าไว้ น้ำขึ้นให้รีบตัก ว่าแต่เอาภาษิตนี้ มาใช้กับการลงทุน(ไม่ใช่เก็งกำไรนะ) ได้หรือไม่
ถ้าน้ำขึ้น ก็แสดงว่าหุ้นแพง แล้วจะซื้อทำซากอะไรครับ แล้วซื้อตอนไหนอ่ะ ?
หลายคนถามว่าซื้อหุ้นตัวไหน ซื้อเมื่อไหร่ ก็ซื้อเมื่อถูกไงครับเพราะทุกๆ อย่างมีวงจร มี Cycle
เหมือนน้ำมีขึ้น ก็ต้องมีลง น้ำท่วม ก็ต้องแห้ง(เมื่อไหร่ อันนี้ผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ถึงเอวแล้วครับ)
หุ้นเนี่ย มันจะขึ้นหรือลง ก็ต่อเมื่อ มีอะไรบางอย่างมากระทบกับมัน ทำให้เกิดผลบางอย่าง จริงๆนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของบริษัท สภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ และภายนอกประเทศ อุทกภัย ข่าว บทวิเคราะห์ การเมือง เจ้ามือ และ อื่นๆ อีกมากมาย
แต่ถ้าเรามีเงินเย็น สามารถลงทุนได้นาน โดยไม่มีความจำเป็นต้องดึงเงินส่วนนี้ออกมาใช้ เอามาลงทุนในหุ้น ถูกที่ ถูกเวลา แล้วละก็ เตรียมตัวเป็นเศรษฐีใหม่ได้เลยครับ ฟันธง
ลองมาดูของจริง นี่คือราคาย้อนหลัง 5 ปี ของ PTT (ปตท.) ครับ ถ้าเราย้อนเวลาได้แล้วแบกเงินก้อนนึงไปซื้อตอน มกรา 2009 (120 บาทต่อหุ้น) แล้วขายตอน เมษา 2010 (ประมาณ 370 บาทต่อหุ้น)
กำไร 300 % เลยนะครับ กับเวลาแค่ 15 เดือน ถ้าคุณมี Time Machine รีบขี่กลับไปซื้อเลยครับ
แต่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถย้อนเวลาได้ครับ ที่ผมต้องการจะบอกก็คือ เราไม่ต้องรีบร้อนไปซื้อหุ้นครับ เราเลือกหุ้น และรอเวลาที่ราคามันเหมาะสม (จะมีตัวชี้วัดหลายๆ ตัวบอกอยู่ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอีกที)
ดังนั้น ระหว่างรอก็ศึกษาข้อมูล หุ้นตัวที่ชอบ ที่เล็งไว้ดีๆ เพราะโอกาสดีๆ ไม่รอคุณนาน นะครับ
ถ้าน้ำขึ้น ก็แสดงว่าหุ้นแพง แล้วจะซื้อทำซากอะไรครับ แล้วซื้อตอนไหนอ่ะ ?
หลายคนถามว่าซื้อหุ้นตัวไหน ซื้อเมื่อไหร่ ก็ซื้อเมื่อถูกไงครับเพราะทุกๆ อย่างมีวงจร มี Cycle
เหมือนน้ำมีขึ้น ก็ต้องมีลง น้ำท่วม ก็ต้องแห้ง(เมื่อไหร่ อันนี้ผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ถึงเอวแล้วครับ)
หุ้นเนี่ย มันจะขึ้นหรือลง ก็ต่อเมื่อ มีอะไรบางอย่างมากระทบกับมัน ทำให้เกิดผลบางอย่าง จริงๆนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของบริษัท สภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ และภายนอกประเทศ อุทกภัย ข่าว บทวิเคราะห์ การเมือง เจ้ามือ และ อื่นๆ อีกมากมาย
แต่ถ้าเรามีเงินเย็น สามารถลงทุนได้นาน โดยไม่มีความจำเป็นต้องดึงเงินส่วนนี้ออกมาใช้ เอามาลงทุนในหุ้น ถูกที่ ถูกเวลา แล้วละก็ เตรียมตัวเป็นเศรษฐีใหม่ได้เลยครับ ฟันธง
ลองมาดูของจริง นี่คือราคาย้อนหลัง 5 ปี ของ PTT (ปตท.) ครับ ถ้าเราย้อนเวลาได้แล้วแบกเงินก้อนนึงไปซื้อตอน มกรา 2009 (120 บาทต่อหุ้น) แล้วขายตอน เมษา 2010 (ประมาณ 370 บาทต่อหุ้น)
กำไร 300 % เลยนะครับ กับเวลาแค่ 15 เดือน ถ้าคุณมี Time Machine รีบขี่กลับไปซื้อเลยครับ
แต่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถย้อนเวลาได้ครับ ที่ผมต้องการจะบอกก็คือ เราไม่ต้องรีบร้อนไปซื้อหุ้นครับ เราเลือกหุ้น และรอเวลาที่ราคามันเหมาะสม (จะมีตัวชี้วัดหลายๆ ตัวบอกอยู่ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอีกที)
ดังนั้น ระหว่างรอก็ศึกษาข้อมูล หุ้นตัวที่ชอบ ที่เล็งไว้ดีๆ เพราะโอกาสดีๆ ไม่รอคุณนาน นะครับ
วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554
หนังเล่าเรื่อง "TOP SECRET วัยรุ่นพันล้าน"
เมื่อวันก่อนผมได้ไปดูหนัง TOP SECRET วัยรุ่นพันล้าน ต้องขอยอมรับว่า หนังเรื่องนี้ ดีจริงๆ
เรียกว่าฉีกแนว (ตลกกับหนังผี) ผมจะขอยกเอาเรื่องย่อของหนังมาให้อ่านกันคร่าวๆ
จากชีวิตเบื้องลึกของ ต๊อบ อิทธิพัฒน์ (พีช พชร) เจ้าของธุรกิจสาหร่ายเถ้าแก่น้อย วัยรุ่นไทยที่พลิกชีวิตจากเด็กติดเกมส์ออนไลน์ เด็กมัธยมปลายที่เคยถูกครูฝ่ายปกครองค่อนขอดว่าเรียนจบแล้วจะไปทำอะไรกิน จนกลายมาเป็นวัยรุ่นพันล้านในวันนี้ต๊อบมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากรวย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าลงมือรวยแบบต๊อบอะไรคือสิ่งที่ต๊อบต้องฝ่าฝัน อะไรคือสิ่งที่ต๊อบต้องแลกให้กับคำว่า "รวย" อะไรคือมูลค่าที่แท้จริงของความรวย และอะไรคือสิ่งที่ผุดขึ้นในหัวของต๊อบเมื่อเขาได้ลองชิมสาหร่ายทอดบรรจุ กระป๋องแบบโอท็อปเป็นครั้งแรก
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะครับ น้อยคนนักที่จะ YOUNG RICH & SUCCEED FULL
ผมว่าคนเราเนี่ยมันเริ่มจากแนวคิด การคิดต่าง คิดนอกกรอบ เพราะคนส่วนใหญ่คิดในกรอบ ทำตามๆกัน เรียนก็เหมือนๆกัน ทำงานแบบเดียวกัน เฮ้ย! แล้วมันจะรวยเหมือนกันได้ไง งง
แต่ช่วยไม่ได้ในเมื่อเรียนมาแล้ว อย่างน้อยเราก็ได้วิธีหาเงินจากเวลา 4 ปี ในมหาวิทยาลัย มันก็คุ้มค่าอยู่แหล่ะครับ
คิดยังไงให้ต่าง ปัจจุบันในแต่ละเดือนที่คุณได้เงินเดือนมาเนี่ย ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมั้ย ใช้เกินตัวรึเปล่า
เราต้องเริ่มครับ เริ่มวันนี้ แค่เรารู้จักการออม ในขณะที่คนอื่นกำลังใช้เงินอย่างเมามันส์ ผมว่าแค่นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้วล่ะครับ
ลองดูนะครับ ออมเงินให้ได้ซัก 50 เปอร์เซ็น ของรายได้ดู (แต่ออมให้ถูกที่นะ ไม่ใช่เอาไปฝากแบงค์ ดอกเบี้ยน้อย เหมือนเอาเงินใส่ตุ่มหลังบ้านไม่มีผิด) ออมแล้วเอาไปลงทุน ใน ASSET ที่มันเติบโตไปกับเงินเฟ้อ (เช่น หุ้น ที่ดิน เป็นต้น)
ผมว่าทำได้แค่นี้ก็รวยแล้วล่ะครับ !!!
แถมท้ายด้วย ข้อมูลด้านการเงินของต๊อบกันดีกว่า
อายุ 16 ต๊อบมีเงินจากการเล่นเกมส์เดือนละ 400,000 บาท
อายุ 17 ยอมติด F แลกกับเงินค่าขายเกาลัดแค่ 2,000 บาท
อายุ 18 บ้านล้มละลายเป็นหนี้ 40 ล้าน
อายุ 19 นำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเข้าเซเว่น 3,000 สาขา
ทุกวันนี้ต๊อบ อายุ 26 ปีเป็นเจ้าของแบรนด์สาหร่ายอันดับหนึ่งของเมืองไทย เจ้าของมาร์เก็ตแชร์ 85% ของทั้งตลาด หรือเท่ากับยอดขายเหยียบ 1,000 ล้านบาทต่อปี มีลูกน้องในบริษัททั้งสิ้น 1,200 คน
คุณทำอะไรอยู่ตอนคุณอายุเท่าต๊อบ?
อายุ 17 ยอมติด F แลกกับเงินค่าขายเกาลัดแค่ 2,000 บาท
อายุ 18 บ้านล้มละลายเป็นหนี้ 40 ล้าน
อายุ 19 นำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเข้าเซเว่น 3,000 สาขา
ทุกวันนี้ต๊อบ อายุ 26 ปีเป็นเจ้าของแบรนด์สาหร่ายอันดับหนึ่งของเมืองไทย เจ้าของมาร์เก็ตแชร์ 85% ของทั้งตลาด หรือเท่ากับยอดขายเหยียบ 1,000 ล้านบาทต่อปี มีลูกน้องในบริษัททั้งสิ้น 1,200 คน
คุณทำอะไรอยู่ตอนคุณอายุเท่าต๊อบ?
วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554
"ก๋วยเตี๋ยวคงกระพัน" กับค่าของเงินที่เปลี่ยนไปตามเวลา
วันเวลาผ่านไป เงินก็เริ่มลดมูลค่าลงเรื่อยๆ (เป็นไปได้ไงหว่า)
เพื่อให้มองเห็นภาพง่าย ๆ หากเราย้อนอดีตไปยังปี พ.ศ.2500 ขณะนั้นก๋วยเตี๋ยว 1 ชามราคา 50 สตางค์ ( ประมาณนี้แหล่ะ ลองถามคุณตา คุณยายที่บ้านดู )ปัจจุบันปี พ.ศ.2554 เวลาผ่านมา 54 ปี ก๋วยเตี๋ยว 1 ชามราคา 30 บาท ถ้าจะซื้อก๋วยเตี๋ยว 1 ชามมีเงินแค่ 50 สตางค์ก็ซื้อไม่ได้เสียแล้ว จะเห็นได้ว่าค่าของเงินเมื่อ 54 ปีก่อนมีมูลค่าลดลงไปอย่างมากเลยทีเดียว
และถ้าจะสมมุติให้โอเวอร์ขึ้นไปอีก สมมุติว่าเมื่อปี พ.ศ.2500 นาย ก. และนาย ข. มีเงินคนละ 50 สตางค์ นาย ก.เอาเงินจำนวนนั้นหยอดกระปุกไว้ ส่วนนาย ข. เอาไปซื้อก๋วยเตี๋ยว"คงกระพัน"( ไม่มีวันบูด )แล้วเก็บไว้ เมื่อเวลาผ่านไป 54 ปี ถ้านาย ก. อยากกินก๋วยเตี๋ยว"คงกระพัน"ของนาย ข. นาย ก. ทุบกระปุกออกมา เงินของนาย ก. กลับไม่สามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวจากนาย ข. ได้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อ 52 ปีก่อนก็คือเงิน 50 สตางค์เท่ากัน จากตัวอย่างนี้
เมื่อปี พ.ศ.2500
ก๋วยเตี๋ยวของนาย ข.มีมูลค่าปัจจุบัน 50 สตางค์ มูลค่าอนาคต 30 บาท
แต่เงินของนาย ก.มีมูลค่าปัจจุบัน 50 สตางค์ มูลค่าอนาคตก็ยังคงเป็น 50 สตางค์เหมือนเดิม
ถ้าสมมุติว่านาย ก.สามารถหาเงิน 30 บาทมาซื้อก๋วยเตี๋ยว"คงกระพัน"ของนาย ข.ไปได้เท่ากับว่านาย ข. ได้กำไร
จากก๋วยเตี๋ยว " คงกระพัน " ได้ 29.50 บาท คิดเป็น 59 เท่า หรือ 5900% แล้วถ้าวันนั้น นาย ข.เอาเงิน 1 ล้านบาท
ไปลงทุนซื้อไอ้ก๋วยเตี๋ยวที่ว่านี้ล่ะ หุหุ
เอ้าว่าแล้วพวกเราไปซื้อก๋วยเตี๋ยวเก็บไว้กันดีกว่า อิอิ
ตอนหน้าผมจะเล่าถึงวิธีการที่จะรักษามูลค่าที่แท้จริงของเงินให้ทราบนะครับ
Credit : vistockvalue.blogspot.com/ สำหรับการ ก๋วยเตี๋ยวคงกระพันนะครับ ชื่อเท่มากมาย
RAT RACE กับดักทางการเงิน ของหนุ่มสาว GEN Y
GEN Y คือใคร? พวกกลุ่มคนอายุระหว่าง 20-30 ครับ
พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ คือ พลังแห่งการบริโภค (กินแหลก) เป็นกลุ้มที่มีการใช้จ่ายค่อนข้างสูงเทียบเมื่อกับรายได้ (แล้วมันจะรวยมั้ยล่ะ TT) แล้ววันๆนึงเนี่ย เค้าทำอะไรบ้างล่ะ ผมขอยกตัวอย่างกลุ่มคนชั้นกลางแล้วกัน เห็นภาพใหญ่ง่ายดี อิอิ
คนกลุ่มนี้เนี่ย ส่วนมากเพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยนักศึกษาจบใหม่ป้ายแดง ไฟแรงสูง
แล้วเค้าทำอะไรกันล่ะ ทำงาน ใช้เงิน เที่ยว กิน ซื้อของแบรนเนม (รวมถึงอุปกรณ์ IT BB IPHONE IPAD) อยากมีรถ อยากมีบ้าน
ฟังๆ ดูแล้ว เงินที่ได้มากับรายจ่ายมันไม่สมดุลกัน นั่นแหละครับ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหล่ะ ฮึ่ย
ไหนจะค่าอาหาร กาแฟสตาร์บัค ดูหนัง เที่ยว ค่าเทคโนโลยีที่ต้องตามให้ทัน (เด๋วต้องไปซื้อ IPHONE 4S) ละเค้าบอกกล้องแหล่มมาก โหยังงี้ตายสิครับ แล้วถ้าเงินไม่พอทำไงดีอ่ะ
คุณไม่ต้องห่วง บัตรเครดิต ช่วยคุณได้ 555 ดูก่อนนิกรชน เห็นมั้ยครับ มันเหมือนงูกินหาง ถ้าให้ผมเปรียบนะเหมือนคุณเป็นหนูที่กำลัง เล่นวงล้อในกรงนั่นแหล่ะครับ จะหยุดก็ไม่ได้ เพราะกงล้อมันหมุนเร็วเหลือเกิน
คือ คุณจะหาเงินได้เท่าไหร่ ก็ต้องเกิดการใช้จ่าย รวมถึงใช้หนี้ด้วย ทางออกก็คือ ต้อง หยุดครับ หยุด! เท่านั้นที่ช่วยคุณได้ ลดรายจ่าย ลดการใช้เงินใช้อย่างพอเพียงไม่เช่นนั้น ต่อให้คุณหาเงินเพิ่มได้เท่าไหร่ คุณก็จ่ายมากเท่านั้น ^^ (พูดแบบนี้ นอนอยู่บ้าน ปลูกผักกินเองท่าจะดีแฮะ) แล้วก็ออมเงินบ้าง ฝากไว้ด้วยนะครับ สู้สู้
ปล.ขณะนี้เจ้าของบล็อกก็ยังคงเป็นหนูอยู่ ผอมมากด้วย สงสัยวิ่งเยอะ อิอิ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)