งาน(ไม่)ทำเงิน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อผมอุทิศตนเป็น Value Investor เต็มตัว สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด คือ เรื่อง ความคิด ที่สำคัญที่สุด
ก็คือ การมองภาพที่ใหญ่ขึ้นและใหญ่ที่สุดในทุกๆ เรื่อง ผมคิดว่าถ้าภาพใหญ่ถูกต้อง การวิเคราะห์หลังจากนั้นก็ถูกต้อง แม้ในรายละเอียดอาจจะผิดพลาดไปบ้าง ถัดจากนั้น ก็คือ เรื่องของ การกระทำ นั่นก็คือ การเป็น VI สอนให้ผมรู้จักเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แทนที่จะทุ่มเททำสิ่งที่ผิด หรือไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร ด้วยวิธีนี้ เราจะประสบความสำเร็จได้มากกว่าโดยไม่ต้องเหนื่อยมาก และนี่ก็นำมาสู่ประเด็นของการทำงานหรืออาชีพของคนเราที่ผมสังเกตเห็นว่า คนบางคนฉลาดหลักแหลมและทำงานหนักมากแต่เขาก็ไม่รวยซักที แต่บางคนไม่ได้มีไอคิวโดดเด่นอะไร ทำงานสบายๆ แต่กลับร่ำรวยกว่ามาก อะไรทำให้เป็นอย่างนั้น คำตอบของผม คือ เพราะคนแรก ทำงานที่ "ไม่ทำเงิน" ส่วนคนที่สอง ทำงานที่ "ทำเงิน"
งานที่ "ไม่ทำเงิน" งานแรกที่ผมจะพูดถึง คือ งานเอเยนซีโฆษณา ซึ่งต้องติดต่อลูกค้าเสนอแนวความคิด และผลิตหนังโฆษณาให้ลูกค้า เป็นงานที่หนักและใช้สมอง และมีความกดดันสูง คนที่ทำงานนี้ต้องทำงานจนดึกดื่นและเครียดสุดๆ แต่เงินเดือนและรายกลับไม่สูง เหตุผลเพราะรายรับที่ได้จากลูกค้าเพียง 10 ล้านบาท แต่ต้อง ใช้พนักงานและทรัพยากรจำนวนมาก ทำให้บริษัทจ่ายเงินให้ลูกจ้าง แต่ละคนได้ไม่มาก ตรงกันข้าม คนที่ทำงานเกี่ยวกับการบริหารมีเดีย หรือสื่อโฆษณาให้ลูกค้า ซึ่งอยู่ในธุรกิจเดียวกัน หรือบริษัทเดียวกัน มักทำงานสบายกว่า หน้าที่เขาคือ ซื้อเวลาโฆษณาทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ และสื่ออื่นๆ ให้ลูกค้า ซึ่งมีข้อมูลอยู่แล้วในคอมพิวเตอร์ และสิ่งที่เขาทำอาจจะซ้ำๆ กับงานที่ทำให้กับบริษัทอื่นๆ ไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากนักไม่ต้องพูดถึงจำนวนคนที่จะต้องใช้ทำงาน แต่งานมีเดียกลับมีเม็ดเงินสูงมาก การทำแคมเปญแต่ละครั้งต้องใช้เงินเป็น 100 หรือ 200 ล้านบาท เพราะแค่ค่าโฆษณาทางทีวี นาทีละห้าหกแสนบาท และนี่ทำให้งานมีเดียเป็นงานที่ทำเงินให้กับบริษัท และส่งผลต่อมาถึงคนทำด้วย
งานด้านการผลิต เช่น การเป็นวิศวกรโรงงาน แม้เป็นงานที่หาง่าย และได้เงินค่อนข้างดีช่วงแรกๆ แต่ระยะยาวคนที่ทำงานด้านการเงิน จะทำเงินมากกว่า ทั้งๆ ที่การเป็นวิศวกร ต้องใช้ความรู้และความสามารถในการคิดคำนวณสูงกว่า และต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่แย่กว่า งานหนักกว่า เหตุผล คือ งานด้านการเงิน ใช้คนน้อยกว่า แต่ความสำคัญในแง่บริษัทสูงกว่างานวิศวกรรม บริษัทจึงจ่ายเงินให้แก่ผู้บริหารทางฝ่ายการเงินสูงกว่าทางด้านวิศวกรรมได้
ถ้าพูดถึงงานระดับล่างลงมา เช่น คนงานที่เป็นกรรมกรก่อสร้าง หรือคนงานในโรงงาน จะพบว่าพวกเขามีรายได้ที่น้อยกว่าคนที่ค้าขายหาบเร่ หรือแผงลอยมาก ทั้งๆ ที่ทำงานหนักกว่ามาก และเสี่ยงต่อร่างกายสูงกว่า หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่แย่กว่า เหตุผลคงเป็นเรื่องของ "จิตใจ" หรืออารมณ์ความรู้สึก เช่น การรู้สึก "ตากหน้า" ถ้าต้องไปยืนขายของ รวมถึงเป็นคนที่ไม่ "กล้าเสี่ยง" หรือ "ไม่มีทุน" หรือไม่มีความสามารถในการ "จัดการ" ที่จะต้องวิ่งไปหาซื้อสินค้ามาผลิตและ/หรือขาย ต่างๆ เหล่านี้ ทำให้คนไม่ทำงานค้าขายทั้งที่รายได้ดีและสบายกว่ามาก ทำนองเดียวกัน อาชีพด้านบริการ โดยเฉพาะประเด็นการที่ต้อง "ตากหน้า" ก็ให้ผลตอบแทน หรือรายได้สูงกว่างานกรรมกรหรืองานการผลิต เช่น การเป็นแม่บ้าน หรือการเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหาร หรือคนดูแลรับรถในสถานบริการหรู ได้รับทิปจากลูกค้าค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับเงินเดือนที่ได้รับ
งานที่มั่นคงมาก มีเวลาการทำงานที่แน่นอน ไม่ต้องตากหน้าหรือเผชิญกับแรงกดดันจากหัวหน้างาน และได้ผลตอบแทนแน่นอนไม่ขึ้นอยู่กับผลงาน เช่น งานราชการทั่วๆ ไป และงานการเป็นอาจารย์ในสถานศึกษา ไม่ใช่งานทำเงิน ตรงกันข้าม งานที่มีความไม่แน่นอนของรายได้สูงและต้อง "ตากหน้า" เพราะต้องไปเกี่ยวข้องกับคนอื่นในลักษณะที่ตนเองดูด้อยกว่า และงานที่ไม่มีเวลาทำงานแน่นอน เช่น งานการเป็นเซลส์แมน งานการเป็นนายหน้าค้าที่ดิน ตัวแทนขายประกัน คนขายสินค้าแบบขายตรง หรือแบบ "ลูกโซ่" งานเหล่านี้เป็นงานที่ทำเงิน คนที่ทำได้จะรวยได้ ขณะที่คนกลุ่มแรก โอกาสรวยมีน้อยมาก
พูดถึงดาราหนัง นักร้องและคนที่แสดงเพื่อการบันเทิง งานเหล่านี้เป็นงานที่หนัก มีรายได้ไม่แน่นอน ทำงานไม่เป็นเวลา แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ใช่งานที่ทำเงินจริงๆ โดยเฉพาะตัวประกอบ แม้แต่ดาราที่ "มีระดับ" การแสดงก็ไม่ได้ทำเงินได้มากมายอย่างที่คิด สิ่งที่ทำเงินจริงๆ ในวงการนี้ อยู่ที่การได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ในการโฆษณาสินค้า หรือโชว์ตัวตามอีเวนท์ต่างๆ ซึ่งเป็นงานที่เบา และใช้เวลาทำน้อย แต่ได้เงินมากกว่าการแสดงมาก นี่อาจคล้ายๆ กับกรณีของเอเยนซีกับการบริหารมีเดีย คือ คุณไม่สามารถจะได้งานพรีเซ็นเตอร์ ถ้าคุณไม่ได้แสดงหนังที่ทำให้คนรู้จักและชื่นชอบ
การ "ทำเอง" กับการ "ซื้อ" นี่ก็มีประเด็นเรื่องงานทำเงินกับงานไม่ทำเงิน มีเรื่องพูดกันในหมู่นักบริหารที่ต้องการลดต้นทุน ซึ่งคือเรื่องเดียวกับการ "ทำเงิน" ว่า การลดต้นทุนการผลิต ทางหนึ่ง คือ ให้วิศวกรพยายามหาทางลดต้นทุน โดยตัดค่าใช้จ่ายและต้นทุนต่างๆ ซึ่งมีตั้งแต่การศึกษากระบวนการผลิตอย่างลึกซึ้งว่า แต่ละกระบวนการเราจะปรับปรุงอย่างไรจะช่วยลดต้นทุนได้ แต่ในที่สุดแล้ว ผลมักจะออกมาว่าเราลดได้เพียง 3-4% แต่อีกหนทางหนึ่ง คือ อาจจะหาทางใหม่ เช่น แทนที่จะผลิตเอง เราไปซื้อจากคนอื่น หรือไป "ต่อรอง" กับคนที่ขายของ หรือรับทำงานให้เราให้ลดราคาลงมา งานนี้เราใช้คนทำเพียงคนสองคนก็ได้แล้ว และสิ่งที่เรา "ประหยัด" ได้ อาจจะ 10-15% ดังนั้น จะไปทำงานหลังขดหลังแข็งไปทำไม
การลงทุนเป็นความ "สุดยอดของงานทำเงิน" เพราะใช้พลังงานน้อยมาก ว่า ที่จริงคุณแทบไม่ต้องแม้แต่จะจับปากกา สิ่งที่คุณทำอาจอยู่แต่ในสมอง คนอาจไม่รู้ว่าคุณกำลังทำงานอยู่ แต่ถ้าคุณทำงานนี้ได้ดีมาก ผลตอบแทนจะมหาศาล แน่นอน การลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนได้ต้องมีเงินลงทุน รายได้ขึ้นอยู่กับเงินต้นด้วย ถ้าเงินต้นน้อย การลงทุนอย่างเดียวโดยไม่ทำงานอื่นด้วยก็ยากที่จะทำเงิน ถ้าคุณเป็นคนมีเงินอยู่แล้ว หรือเป็นคนที่จะมีเงินจากทางอื่นเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ คุณก็ไม่มีเหตุผลจะหลีกเลี่ยงจากการลงทุน ซึ่งเป็นกิจกรรม หรืองานที่ "ทำเงิน" มากๆ นั่นก็คือ ทำงานน้อยแต่เวลาได้เงิน ได้มากกว่างานอื่นๆ ... มาก
**************************
งาน(ไม่)ทำเงิน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
วันที่ 17 มกราคม 2555
วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555
ข้อคิดจาก คำเตือนสั้นๆของ Peter Lynch
คำเตือนสั้นๆของ Peter Lynch
ก่อนที่จะซื้อหุ้น คุณควรตัดสินใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตลาด เกี่ยวกับความเชื่อมั่นของคุณต่อบริษัทที่คุณกำลังจะเข้าไปซื้อหุ้นว่ามีมาก แค่ไหน และที่สำคัญคือ คุณคาดหวังอะไรจากมัน คุณอาจจะเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาวก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติของคุณ สิ่ง ที่ดีที่สุดของคุณคือกำหนดวัตถุประสงค์และทัศนคติของคุณให้ชัดแจ้งตั้งแต่ แรก เพราะว่าถ้าคุณไม่ได้ตัดสินใจและไม่มีความมุ่งมั่น คุณก็อาจจะเป็นเหยี่อของตลาด ผู้ซึ่งขายหุ้นออกไปในสภาวะที่กลัวสุดขีดและขาดทุน การ เตรียมตัวปรับจิตใจมีความสำคัญเท่าๆกับความรู้และการวิเคราะห์ของคุณเท่าที่ คุณได้ทำการบ้าน ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ และนักลงทุนที่ขาดทุนอยู่เสมอ ถึงที่สุดแล้วมันไม่ใช่ตลาดหุ้นหรือบริษัทที่กำหนดชะตาของนักลงทุน ตัวคุณต่างหากเป็นผู้กำหนด
จากข้อความนี้นะครับ ผู้ซึ่งขายหุ้นออกไปในสภาวะที่กลัวสุดขีดและขาดทุน ตรงนี้ผมมองว่าสำคัญที่สุด จากประสบการณ์ตรง ตอนที่เริ่มที่เข้าตลาดมาใหม่ๆ ได้กำไรนิดหน่อยเราจะดีใจ และไม่ขาย (แทงใจดำหลายๆคนแน่นอน) แต่พอตลาด panic ขาดทุนเยอะๆกลับขาย ขายทุนยับ ทำใจ cut ไม่ลง
ผมเข้าใจสถานะการณ์ข้างต้นนะครับ เพราะเคยเป็นมาก่อน ต้นเหตุมันคงมาจาก เราอยากที่จะลงทุน(แต่ขาดความรู้ และประสบการณ์) และจุดมุ่งหมายที่แท้จริงในการลงทุนของเรา
แต่ก่อนผมเล่นหุ้นตามเค้า เห็นเค้าได้เราก็อยากได้บ้าง เจ็บตัวไปเยอะครับ หลังจากนั้นก็เริ่มซื้อหนังสือมาศึกษาอย่างจริงจัง และเริ่มค้นหาแนวทางของตัวเอง ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปครับ เราเก็บเล็กผสมน้อยครับ เงินสำคัญก็จริงครับ แต่ถ้าทางที่เราเดินไปหาเงินปราศจากความสุข กว่าจะรู้ตัวก็ไม่สามารถดึงเวลาช่วงนั้นกลับมาได้นะครับ
โรงเรียนตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องสอบแข่งขัน ใครก็เข้ามาได้ ค่าเทอมไม่ fix เรียนดีจ่ายน้อย หรืออาจไม่ต้องจ่าย แต่เด็กใหม่ ค่าบำรุงการศึกษามีแน่นอนครับ !!!!
วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
สิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 8 ดอกเบี้ยทบต้น
"The most powerful force in the universe is compound interest", Albert Einstein
เป็นคำกล่าวของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แปลว่า "พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล คือ ดอกเบี้ยทบต้น"
เพื่อที่จะเห็นภาพได้ชัดๆ ดูได้จากตารางข้างล่างได้เลยนะครับว่าการทบต้นมันรุนแรงแค่ไหน
แค่คุณลงทุนอะไรก็ได้ง่ายๆ แล้วให้ผลตอบแทนมันคงที่ (ยากนะ) เอาซัก 10 เปอร์เซ็น ต่อปี โดยไม่ต้องเพิ่มเงินต้น เพียง 20 ปี นะครับ เงินเพิ่มมาถึง 6 เท่า แล้วถ้า 30 เปอร์เซ็น ต่อปีละ หุหุ 14 เท่า โอ้แม่เจ้า
ที่เอามาให้ดูเนี่ย ผมอยากให้เห็นภาพชัดๆ ว่าปันผล หรือ ผลตอบแทนต่อปีของการเล่นหุ้น ถ้าเรามีวินัยในการลงทุน ไม่ใช่เรื่องยากครับที่จะวางแผนให้กับความมั่นคงในชีวิตได้
แต่คนส่วนมากมักจะทำสวนทางกับความจริง ไอ้เงินฝากที่ท่านฝากแบงค์เนี่ย เคยได้รู้สึกถึงการทบต้นบ้างรึยังครับ แม้กระทั้งการลงทุนในหุ้นก็ตาม เมื่อได้ผลตอบแทนแต่คุณ ตัดมันออกมาใช้ ก็คงได้แต่ฝันหวานว่ามันจะทบต้นทบดอกให้คุณ เพราะคนส่วนใหญ่ขาดความมีวินัย และความอดทน ถูกต้องครับที่ผมอยากจะสื่อก็คือ คนส่วนใหญ่จน และคนส่วนน้อยรวย เพราะมีความแตกต่าง ตั้งแต่วิธีการคิดที่ต้นทาง จนถึงปลายทางนั่นเอง เพราะฉะนั้นวันนี้ก็จงเริ่มทำอะไรที่มันแตกต่างอย่างถูกต้องซะ เผื่อวันนึงคุณอาจหลุดพ้นจากกับดักทางการเงินของยุคสมัยของระบบทุนนิยมก็เป็นได้
ข้างล่างนี้ผมเอากราฟของดอกเบี้ยทบต้นมาให้ดูกันนะครับ จะเห็นได้ชัดว่าพลังของการทบต้นเนี่ย มันแรงปลาย ต้องรอนานหน่อย แต่ผมว่าคุ้ม ถ้าวันนี้คุณอายุยี่สิบต้นๆ รอไปอีก 20 ปี ก็ยังไม่สายสำหรับผลไม้ที่สุกงอม และกินได้ไม่มีวันหมด เพียงคุณเริ่มปลูกมันวันนี้เท่านั้นเอง
กราฟแสดงผลตอบแทนทบต้น 5%
กราฟแสดงผลตอบแทนทบต้น 10%
กราฟแสดงผลตอบแทนทบต้น 15%
กราฟแสดงผลตอบแทนทบต้น 20%
กราฟแสดงผลตอบแทนทบต้น 25%
กราฟแสดงผลตอบแทนทบต้น 30%
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
หุ้นก็เหมือนน้ำ(ท่วม) มีขึ้นก็มีลง
โบราณว่าไว้ น้ำขึ้นให้รีบตัก ว่าแต่เอาภาษิตนี้ มาใช้กับการลงทุน(ไม่ใช่เก็งกำไรนะ) ได้หรือไม่
ถ้าน้ำขึ้น ก็แสดงว่าหุ้นแพง แล้วจะซื้อทำซากอะไรครับ แล้วซื้อตอนไหนอ่ะ ?
หลายคนถามว่าซื้อหุ้นตัวไหน ซื้อเมื่อไหร่ ก็ซื้อเมื่อถูกไงครับเพราะทุกๆ อย่างมีวงจร มี Cycle
เหมือนน้ำมีขึ้น ก็ต้องมีลง น้ำท่วม ก็ต้องแห้ง(เมื่อไหร่ อันนี้ผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ถึงเอวแล้วครับ)
หุ้นเนี่ย มันจะขึ้นหรือลง ก็ต่อเมื่อ มีอะไรบางอย่างมากระทบกับมัน ทำให้เกิดผลบางอย่าง จริงๆนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของบริษัท สภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ และภายนอกประเทศ อุทกภัย ข่าว บทวิเคราะห์ การเมือง เจ้ามือ และ อื่นๆ อีกมากมาย
แต่ถ้าเรามีเงินเย็น สามารถลงทุนได้นาน โดยไม่มีความจำเป็นต้องดึงเงินส่วนนี้ออกมาใช้ เอามาลงทุนในหุ้น ถูกที่ ถูกเวลา แล้วละก็ เตรียมตัวเป็นเศรษฐีใหม่ได้เลยครับ ฟันธง
ลองมาดูของจริง นี่คือราคาย้อนหลัง 5 ปี ของ PTT (ปตท.) ครับ ถ้าเราย้อนเวลาได้แล้วแบกเงินก้อนนึงไปซื้อตอน มกรา 2009 (120 บาทต่อหุ้น) แล้วขายตอน เมษา 2010 (ประมาณ 370 บาทต่อหุ้น)
กำไร 300 % เลยนะครับ กับเวลาแค่ 15 เดือน ถ้าคุณมี Time Machine รีบขี่กลับไปซื้อเลยครับ
แต่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถย้อนเวลาได้ครับ ที่ผมต้องการจะบอกก็คือ เราไม่ต้องรีบร้อนไปซื้อหุ้นครับ เราเลือกหุ้น และรอเวลาที่ราคามันเหมาะสม (จะมีตัวชี้วัดหลายๆ ตัวบอกอยู่ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอีกที)
ดังนั้น ระหว่างรอก็ศึกษาข้อมูล หุ้นตัวที่ชอบ ที่เล็งไว้ดีๆ เพราะโอกาสดีๆ ไม่รอคุณนาน นะครับ
ถ้าน้ำขึ้น ก็แสดงว่าหุ้นแพง แล้วจะซื้อทำซากอะไรครับ แล้วซื้อตอนไหนอ่ะ ?
หลายคนถามว่าซื้อหุ้นตัวไหน ซื้อเมื่อไหร่ ก็ซื้อเมื่อถูกไงครับเพราะทุกๆ อย่างมีวงจร มี Cycle
เหมือนน้ำมีขึ้น ก็ต้องมีลง น้ำท่วม ก็ต้องแห้ง(เมื่อไหร่ อันนี้ผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ถึงเอวแล้วครับ)
หุ้นเนี่ย มันจะขึ้นหรือลง ก็ต่อเมื่อ มีอะไรบางอย่างมากระทบกับมัน ทำให้เกิดผลบางอย่าง จริงๆนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของบริษัท สภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ และภายนอกประเทศ อุทกภัย ข่าว บทวิเคราะห์ การเมือง เจ้ามือ และ อื่นๆ อีกมากมาย
แต่ถ้าเรามีเงินเย็น สามารถลงทุนได้นาน โดยไม่มีความจำเป็นต้องดึงเงินส่วนนี้ออกมาใช้ เอามาลงทุนในหุ้น ถูกที่ ถูกเวลา แล้วละก็ เตรียมตัวเป็นเศรษฐีใหม่ได้เลยครับ ฟันธง
ลองมาดูของจริง นี่คือราคาย้อนหลัง 5 ปี ของ PTT (ปตท.) ครับ ถ้าเราย้อนเวลาได้แล้วแบกเงินก้อนนึงไปซื้อตอน มกรา 2009 (120 บาทต่อหุ้น) แล้วขายตอน เมษา 2010 (ประมาณ 370 บาทต่อหุ้น)
กำไร 300 % เลยนะครับ กับเวลาแค่ 15 เดือน ถ้าคุณมี Time Machine รีบขี่กลับไปซื้อเลยครับ
แต่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถย้อนเวลาได้ครับ ที่ผมต้องการจะบอกก็คือ เราไม่ต้องรีบร้อนไปซื้อหุ้นครับ เราเลือกหุ้น และรอเวลาที่ราคามันเหมาะสม (จะมีตัวชี้วัดหลายๆ ตัวบอกอยู่ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังอีกที)
ดังนั้น ระหว่างรอก็ศึกษาข้อมูล หุ้นตัวที่ชอบ ที่เล็งไว้ดีๆ เพราะโอกาสดีๆ ไม่รอคุณนาน นะครับ
วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554
หนังเล่าเรื่อง "TOP SECRET วัยรุ่นพันล้าน"
เมื่อวันก่อนผมได้ไปดูหนัง TOP SECRET วัยรุ่นพันล้าน ต้องขอยอมรับว่า หนังเรื่องนี้ ดีจริงๆ
เรียกว่าฉีกแนว (ตลกกับหนังผี) ผมจะขอยกเอาเรื่องย่อของหนังมาให้อ่านกันคร่าวๆ
จากชีวิตเบื้องลึกของ ต๊อบ อิทธิพัฒน์ (พีช พชร) เจ้าของธุรกิจสาหร่ายเถ้าแก่น้อย วัยรุ่นไทยที่พลิกชีวิตจากเด็กติดเกมส์ออนไลน์ เด็กมัธยมปลายที่เคยถูกครูฝ่ายปกครองค่อนขอดว่าเรียนจบแล้วจะไปทำอะไรกิน จนกลายมาเป็นวัยรุ่นพันล้านในวันนี้ต๊อบมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากรวย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าลงมือรวยแบบต๊อบอะไรคือสิ่งที่ต๊อบต้องฝ่าฝัน อะไรคือสิ่งที่ต๊อบต้องแลกให้กับคำว่า "รวย" อะไรคือมูลค่าที่แท้จริงของความรวย และอะไรคือสิ่งที่ผุดขึ้นในหัวของต๊อบเมื่อเขาได้ลองชิมสาหร่ายทอดบรรจุ กระป๋องแบบโอท็อปเป็นครั้งแรก
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะครับ น้อยคนนักที่จะ YOUNG RICH & SUCCEED FULL
ผมว่าคนเราเนี่ยมันเริ่มจากแนวคิด การคิดต่าง คิดนอกกรอบ เพราะคนส่วนใหญ่คิดในกรอบ ทำตามๆกัน เรียนก็เหมือนๆกัน ทำงานแบบเดียวกัน เฮ้ย! แล้วมันจะรวยเหมือนกันได้ไง งง
แต่ช่วยไม่ได้ในเมื่อเรียนมาแล้ว อย่างน้อยเราก็ได้วิธีหาเงินจากเวลา 4 ปี ในมหาวิทยาลัย มันก็คุ้มค่าอยู่แหล่ะครับ
คิดยังไงให้ต่าง ปัจจุบันในแต่ละเดือนที่คุณได้เงินเดือนมาเนี่ย ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมั้ย ใช้เกินตัวรึเปล่า
เราต้องเริ่มครับ เริ่มวันนี้ แค่เรารู้จักการออม ในขณะที่คนอื่นกำลังใช้เงินอย่างเมามันส์ ผมว่าแค่นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้วล่ะครับ
ลองดูนะครับ ออมเงินให้ได้ซัก 50 เปอร์เซ็น ของรายได้ดู (แต่ออมให้ถูกที่นะ ไม่ใช่เอาไปฝากแบงค์ ดอกเบี้ยน้อย เหมือนเอาเงินใส่ตุ่มหลังบ้านไม่มีผิด) ออมแล้วเอาไปลงทุน ใน ASSET ที่มันเติบโตไปกับเงินเฟ้อ (เช่น หุ้น ที่ดิน เป็นต้น)
ผมว่าทำได้แค่นี้ก็รวยแล้วล่ะครับ !!!
แถมท้ายด้วย ข้อมูลด้านการเงินของต๊อบกันดีกว่า
อายุ 16 ต๊อบมีเงินจากการเล่นเกมส์เดือนละ 400,000 บาท
อายุ 17 ยอมติด F แลกกับเงินค่าขายเกาลัดแค่ 2,000 บาท
อายุ 18 บ้านล้มละลายเป็นหนี้ 40 ล้าน
อายุ 19 นำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเข้าเซเว่น 3,000 สาขา
ทุกวันนี้ต๊อบ อายุ 26 ปีเป็นเจ้าของแบรนด์สาหร่ายอันดับหนึ่งของเมืองไทย เจ้าของมาร์เก็ตแชร์ 85% ของทั้งตลาด หรือเท่ากับยอดขายเหยียบ 1,000 ล้านบาทต่อปี มีลูกน้องในบริษัททั้งสิ้น 1,200 คน
คุณทำอะไรอยู่ตอนคุณอายุเท่าต๊อบ?
อายุ 17 ยอมติด F แลกกับเงินค่าขายเกาลัดแค่ 2,000 บาท
อายุ 18 บ้านล้มละลายเป็นหนี้ 40 ล้าน
อายุ 19 นำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเข้าเซเว่น 3,000 สาขา
ทุกวันนี้ต๊อบ อายุ 26 ปีเป็นเจ้าของแบรนด์สาหร่ายอันดับหนึ่งของเมืองไทย เจ้าของมาร์เก็ตแชร์ 85% ของทั้งตลาด หรือเท่ากับยอดขายเหยียบ 1,000 ล้านบาทต่อปี มีลูกน้องในบริษัททั้งสิ้น 1,200 คน
คุณทำอะไรอยู่ตอนคุณอายุเท่าต๊อบ?
วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554
"ก๋วยเตี๋ยวคงกระพัน" กับค่าของเงินที่เปลี่ยนไปตามเวลา
วันเวลาผ่านไป เงินก็เริ่มลดมูลค่าลงเรื่อยๆ (เป็นไปได้ไงหว่า)
เพื่อให้มองเห็นภาพง่าย ๆ หากเราย้อนอดีตไปยังปี พ.ศ.2500 ขณะนั้นก๋วยเตี๋ยว 1 ชามราคา 50 สตางค์ ( ประมาณนี้แหล่ะ ลองถามคุณตา คุณยายที่บ้านดู )ปัจจุบันปี พ.ศ.2554 เวลาผ่านมา 54 ปี ก๋วยเตี๋ยว 1 ชามราคา 30 บาท ถ้าจะซื้อก๋วยเตี๋ยว 1 ชามมีเงินแค่ 50 สตางค์ก็ซื้อไม่ได้เสียแล้ว จะเห็นได้ว่าค่าของเงินเมื่อ 54 ปีก่อนมีมูลค่าลดลงไปอย่างมากเลยทีเดียว
และถ้าจะสมมุติให้โอเวอร์ขึ้นไปอีก สมมุติว่าเมื่อปี พ.ศ.2500 นาย ก. และนาย ข. มีเงินคนละ 50 สตางค์ นาย ก.เอาเงินจำนวนนั้นหยอดกระปุกไว้ ส่วนนาย ข. เอาไปซื้อก๋วยเตี๋ยว"คงกระพัน"( ไม่มีวันบูด )แล้วเก็บไว้ เมื่อเวลาผ่านไป 54 ปี ถ้านาย ก. อยากกินก๋วยเตี๋ยว"คงกระพัน"ของนาย ข. นาย ก. ทุบกระปุกออกมา เงินของนาย ก. กลับไม่สามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวจากนาย ข. ได้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อ 52 ปีก่อนก็คือเงิน 50 สตางค์เท่ากัน จากตัวอย่างนี้
เมื่อปี พ.ศ.2500
ก๋วยเตี๋ยวของนาย ข.มีมูลค่าปัจจุบัน 50 สตางค์ มูลค่าอนาคต 30 บาท
แต่เงินของนาย ก.มีมูลค่าปัจจุบัน 50 สตางค์ มูลค่าอนาคตก็ยังคงเป็น 50 สตางค์เหมือนเดิม
ถ้าสมมุติว่านาย ก.สามารถหาเงิน 30 บาทมาซื้อก๋วยเตี๋ยว"คงกระพัน"ของนาย ข.ไปได้เท่ากับว่านาย ข. ได้กำไร
จากก๋วยเตี๋ยว " คงกระพัน " ได้ 29.50 บาท คิดเป็น 59 เท่า หรือ 5900% แล้วถ้าวันนั้น นาย ข.เอาเงิน 1 ล้านบาท
ไปลงทุนซื้อไอ้ก๋วยเตี๋ยวที่ว่านี้ล่ะ หุหุ
เอ้าว่าแล้วพวกเราไปซื้อก๋วยเตี๋ยวเก็บไว้กันดีกว่า อิอิ
ตอนหน้าผมจะเล่าถึงวิธีการที่จะรักษามูลค่าที่แท้จริงของเงินให้ทราบนะครับ
Credit : vistockvalue.blogspot.com/ สำหรับการ ก๋วยเตี๋ยวคงกระพันนะครับ ชื่อเท่มากมาย
RAT RACE กับดักทางการเงิน ของหนุ่มสาว GEN Y
GEN Y คือใคร? พวกกลุ่มคนอายุระหว่าง 20-30 ครับ
พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ คือ พลังแห่งการบริโภค (กินแหลก) เป็นกลุ้มที่มีการใช้จ่ายค่อนข้างสูงเทียบเมื่อกับรายได้ (แล้วมันจะรวยมั้ยล่ะ TT) แล้ววันๆนึงเนี่ย เค้าทำอะไรบ้างล่ะ ผมขอยกตัวอย่างกลุ่มคนชั้นกลางแล้วกัน เห็นภาพใหญ่ง่ายดี อิอิ
คนกลุ่มนี้เนี่ย ส่วนมากเพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยนักศึกษาจบใหม่ป้ายแดง ไฟแรงสูง
แล้วเค้าทำอะไรกันล่ะ ทำงาน ใช้เงิน เที่ยว กิน ซื้อของแบรนเนม (รวมถึงอุปกรณ์ IT BB IPHONE IPAD) อยากมีรถ อยากมีบ้าน
ฟังๆ ดูแล้ว เงินที่ได้มากับรายจ่ายมันไม่สมดุลกัน นั่นแหละครับ ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหล่ะ ฮึ่ย
ไหนจะค่าอาหาร กาแฟสตาร์บัค ดูหนัง เที่ยว ค่าเทคโนโลยีที่ต้องตามให้ทัน (เด๋วต้องไปซื้อ IPHONE 4S) ละเค้าบอกกล้องแหล่มมาก โหยังงี้ตายสิครับ แล้วถ้าเงินไม่พอทำไงดีอ่ะ
คุณไม่ต้องห่วง บัตรเครดิต ช่วยคุณได้ 555 ดูก่อนนิกรชน เห็นมั้ยครับ มันเหมือนงูกินหาง ถ้าให้ผมเปรียบนะเหมือนคุณเป็นหนูที่กำลัง เล่นวงล้อในกรงนั่นแหล่ะครับ จะหยุดก็ไม่ได้ เพราะกงล้อมันหมุนเร็วเหลือเกิน
คือ คุณจะหาเงินได้เท่าไหร่ ก็ต้องเกิดการใช้จ่าย รวมถึงใช้หนี้ด้วย ทางออกก็คือ ต้อง หยุดครับ หยุด! เท่านั้นที่ช่วยคุณได้ ลดรายจ่าย ลดการใช้เงินใช้อย่างพอเพียงไม่เช่นนั้น ต่อให้คุณหาเงินเพิ่มได้เท่าไหร่ คุณก็จ่ายมากเท่านั้น ^^ (พูดแบบนี้ นอนอยู่บ้าน ปลูกผักกินเองท่าจะดีแฮะ) แล้วก็ออมเงินบ้าง ฝากไว้ด้วยนะครับ สู้สู้
ปล.ขณะนี้เจ้าของบล็อกก็ยังคงเป็นหนูอยู่ ผอมมากด้วย สงสัยวิ่งเยอะ อิอิ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)